ผู้เขียนเพิ่งเดินทางกลับจากทีปภาวันธรรมสถาน เพื่อทำหน้าที่ส่วนตัวต่อ หลังจากเดินทางไปพัก เพื่อเก็บข้อมูลรายงานกิจกรรมต่างๆ ของทีปภาวันธรรมสถานเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง
เกือบหนึ่งปีที่ผู้เขียนไม่ได้เดินทางไปทีปภาวันธรรมสถาน กลับไปเที่ยวนี้ทำให้สามารถเก็บข้อมูลและกิจกรรมของทางทีปภาวันธรรมสถานมานำเสนอเพิ่มเติมที่บล็อกนี้ได้มากพอสมควร ทั้งส่วนของรูปภาพ และข้อมูลทั่วไป
ผู้เขียนเดินทางไปถึงทีปภาวันธรรมสถาน เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงคอร์สฝึกอบรมชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักสูตรประจำเดือนมกราคมนี้ โดยเดือนนี้ มีชาวต่างประเทศจากหลายประเทศกว่า ๓๗ คน เข้าร่วมอบรม
ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ มีกิจกรรมฝึกอบรมปฏิบัติทั้งหลักสูตรปกติ คือ หลักสูตรสุดสัปดา์ห์แสวงหาอริยทรัพย์ หลักสูตรหาสุขได้จากทุกข์ หลักสูตรสำหรับชาวต่างประเทศ และยังมีหลักสูตรพิเศษเพิ่มเติมอีก ๓ หลักสูตร เนื่องจากมีสถานศึกษาสองแห่ง และหน่วยงานอีกหนึ่งแห่งจากจังหวัดตรัง มาเข้ารับการฝึกอบรมที่ทีปภาวันธรรมสถาน ไม่นับหลักสูตรอบรมจริยธรรมสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาที่สวนธรรมเภรีอีก ๒ ครั้ง
จึงเป็นที่น่ายินดีและอนุโมทนา กับปราฏการณ์การให้ความสนใจและการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมภาคภาวนา ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของผู้ปฏิบัติธรรมชาวต่างประเทศนั้น พบว่ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความสนใจการปฏิบัติธรรมภาคภาวนาของประชาชน นอกจาก
จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการให้ความสนใจพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีในเบื้องต้นแล้ว ก็ยังให้ช่วยให้มีความหวังต่อไปได้ว่า โดยอาศัยการปฏิบัติธรรมภาคภาวนาเป็นจุดเริ่มต้น จะช่วยกระตุ้นให้ ผู้ปฏิบัติอยากทำความเข้าใจพระพุทธศาสนาในเชิงลึกและกว้างต่อไปด้วย ซึ่งนั่นก็หมายถึงความมั่นคงของพระพุทธศาสนา และหมายถึงความสงบร่มเย็นของโลกและสังคม
นอกจากจะรายงานกิจกรรมของทีปภาวันธรรมสถานที่บล็อกแห่งนี้แล้ว ผู้เขียนยังได้นำเสนอรายละีเอียดของทีปภาวันธรรมสถานไว้ที่เว็บไซด์ www.dipabhavan.org อีกที่หนึ่ง เนื่องจากการนำเสนอข้อมูลรายละเอียดผ่านบล็อกอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ที่บล็อกนำเสนอได้ในรูปแบบของบทความเท่านั้น เนื่องจากหน้าเว็บ (แถบหัวข้อด้านบน) มีจำกัดให้เพียง ๑๐ หน้าเท่านั้น ทำให้ผู้อ่านที่ต้องการเปิดหาข้อมูล ต้องมาเลือกค้นจากบทความ ซึ่งค้นหาได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
อนึ่ง การรายงานกิจกรรมของทีปภาัวันธรรมสถาน ของผู้เขียนที่บล็อกแห่งนี้ อาจจะไม่อยู่ในสถานะอัพเดทได้ตลอดเวลา เนื่องจาก ผู้เขียนมีข้อจำกัดเรื่องภาระหน้าที่ส่วนตัว ทำให้ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ทได้ตลอด
ดังนั้น หากพบว่าข้อมูลที่บล็อกแห่งนี้ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ผู้อ่านสามารถติดตาม หรือติดต่อสอบถามได้ที่เว็บไซด์ www.dipabhavan.org ซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยให้รายละเอียดอยู่เป็นประจำ
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
นักเรียนระดับประถมจากเกาะสมุยอบรมที่สวนธรรมเภรี (๒)
มุมมองจากสวนธรรมเภรีในวันที่ฟ้าเปิด สามารถมองเห็นหมู่เกาะแตน
และฝั่งอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราชได้อย่างชัดเจน
สองสัปดาห์ผ่านไป หลังจากกิจกรรมคราวที่แล้ว วันอาทิตย์นี้ เป็นอีกวาระหนึ่ง ที่ทางทีปภาวันธรรมสถาน พร้อมด้วยคณะครูอาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ ที่ร่วมโครงการ จะได้นำนักเรียนขึ้นมาอบรมจริยธรรมที่สวนธรรมเภรี ซึ่งวันนี้จะเป็นการอบรมจริยธรรมครั้งสุดท้าย ประจำปีการศึกษานี้ ก่อนที่น้องๆ นักเรียนจะปิดภาคเรียนฤดูร้อน
อากาศวันนี้ ค่อนข้างโปร่ง ท้องฟ้าเปิด ทำให้เมื่อเดินทางไปถึงธรรมเภรีแล้ว ผู้เขียนสามารถมองเห็นหมู่เกาะต่างๆ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสมุย ได้อย่างชัดเจน และนอกจากนั้นยังมองไปไกลถึงแผ่นดินใหญ่ เขตอำเภอขนอม ของจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
ผู้เขียนพร้อมด้วยพ่อหลวงสัณฐาน และพระใหม่อภิชาต โดยมีครูเสริฐเป็นสารถีเช่นเคย คาดว่าจะเดินทางมาถึงสวนธรรมเภรีก่อนกำหนดเวลาเริ่มกิจกรรม และถึงก่อนใครๆ แต่ที่ไหนได้ ทันทีที่เข้าสู่เขตสวนธรรมเภรี ก็พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่เดินทางมาถึง และเตรียมพร้อมและรอเริ่มกิจกรรมกันอยู่ทั่วบริเวณสวนธรรมเภรีแล้ว
อากาศวันนี้ ค่อนข้างโปร่ง ท้องฟ้าเปิด ทำให้เมื่อเดินทางไปถึงธรรมเภรีแล้ว ผู้เขียนสามารถมองเห็นหมู่เกาะต่างๆ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสมุย ได้อย่างชัดเจน และนอกจากนั้นยังมองไปไกลถึงแผ่นดินใหญ่ เขตอำเภอขนอม ของจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
ผู้เขียนพร้อมด้วยพ่อหลวงสัณฐาน และพระใหม่อภิชาต โดยมีครูเสริฐเป็นสารถีเช่นเคย คาดว่าจะเดินทางมาถึงสวนธรรมเภรีก่อนกำหนดเวลาเริ่มกิจกรรม และถึงก่อนใครๆ แต่ที่ไหนได้ ทันทีที่เข้าสู่เขตสวนธรรมเภรี ก็พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่เดินทางมาถึง และเตรียมพร้อมและรอเริ่มกิจกรรมกันอยู่ทั่วบริเวณสวนธรรมเภรีแล้ว
ผอ.สมศักดิ์เริ่มต้นกิจกรรม ด้วยการพูดคุยกับนักเรียน และนำเข้าสู่กิจกรรมถัดไป คือ การบรรยายธรรม จากพระวิทยากร วันนี้มีพระวิทยากรเดินทางมา ๒ รูป คือพระอาจารย์มานพ จากสวนโมกขพลาราม และพระอาจารย์มาลา จากวัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่
ช่วงเช้า เป็นธรรมบรรยาย จากพระอาจารย์มาลา โดยท่านได้ปูพื้นฐาน และชี้ให้นักเรียน เห็นถึงความสำคัญศีล และความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องต่างๆ แก่นักเรียน พร้อมทั้งมีแง่คิด ซึ่งนักเรียนสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
ผ่านการสอดแทรกนิทาน พร้อมทั้งยกตัวอย่าง และเกร็ดสนุกๆ ตลอดการบรรยาย จึงสร้างทั้งสาระและความสนุกสนานให้แก่นักเรียนในวันนี้เป็นอย่างมาก เชื่อว่า ด้วยความสามารถในการบรรยายของพระอาจารย์มาลา ที่ทำเรื่องเข้าใจยากให้เข้าใจง่าย ทำเรื่องหนักให้เป็นเรื่องเบาในวันนี้ จะเป็นหนึ่งพลังแห่งการกล่อมเกลา และสร้างพื้นฐานสัมมาทิฐิให้กับชีวิตของเด็กๆ ในวันนี้ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงามและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในวันข้างหน้า
ผู้ใหญ่ใจดีท่านนี้กำลังแจกข้าวห่อให้กับเด็กๆ
ในภาคบ่าย หลังจากที่เสร็จจากการรับประทานอาหาร
กลางวันแล้ว ผอ.สมศักดิ์ ได้ทำหน้าที่พิธีกร เพื่อเริ่มกิจกรรมช่วงบ่าย โดยให้นักเรียนและคุณครูออกไปพูดแบ่งปันสุภาษิตที่ประทับใจ ให้ผู้มาร่วมกิจกรรมวันนี้ได้รับฟังด้วย แต่วันนี้ มีพิเศษไปอีก คือให้ทุกคนพูดข้อเสียที่ควรแก้ไขของตนเองด้วย
พระอาจารย์มานพ พระวิทยากรจากสวนโมกข์ ได้ให้ความรู้เรื่องวิธีหายใจ ที่ถูกต้องในการทำสมาธิ และเรื่องหน้าที่ของเด็ก และการเห็นโทษภัยและใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากอบายมุข พร้อมทั้งธรรมะข้อตักเตือนใจ ทำให้ทุกคนได้รับพื้นฐานแห่งการฝึกสมาธิ เพื่อที่จะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในการฝึกสมาธิยิ่งๆ ขึ้นไปในวันข้างหน้า แล้วก็เช่นกัน จากสไตล์การบรรยายของพระอาจารย์มานพ ที่มีเกร็ดบันเทิงต่างๆ สอดแทรกเป็นช่วงๆ ทำให้น้องๆ นักเรียนได้หัวเราะกันท้องแข็งกันอีกเป็นระยะในรอบบ่ายนี้
หลังจากพระอาจารย์มานพบรรยายความรู้พื้นฐานเกี่ยวการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติแล้ว ทุกคนได้พร้อมกันนั่งสมาธิตามที่พระอาจารย์ได้แนะนำจนครบกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจอย่างน่าชื่นชม
โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์
โรงเรียนเทศบาลวัดละไม
โรงเรียนบ้านหน้าค่าย
โรงเรียนบ้านหาดงาม
โรงเรียนวัดกลาง
โรงเรียนวัดนาราเจริญสุข
ในวันนี้ นอกจาก ผอ. สมศักดิ์ จากโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ และ ผอ. เยี่ยมศักดิ์ จากโรงเรียนเทศบาลวัดละไมแล้ว ยังมีคุณครูใจดีอีกหลายท่าน ที่ได้นำนักเรียนขึ้นมาอบรม และเป็นกำลังใจให้กับเด็ก ๆ โดยทั้งหมด มาจากโรงเรียน ๖ แห่งในเกาะสมุย คือ
โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์
โรงเรียนเทศบาลวัดละไม
โรงเรียนบ้านหน้าค่าย
โรงเรียนบ้านหาดงาม
โรงเรียนวัดกลาง
โรงเรียนวัดนาราเจริญสุข
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า กิจกรรมนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ตราบใดที่ทุกฝ่ายยังให้ความร่วมมือสนับสนุนกันอยู่เช่นในปัจจุบันนี้ ด้วยความเชื่อมั่นว่า เยาวชนที่ตั้งต้นถูกทางเท่านั้น จึงจะสามารถเติบโตขึ้นมา อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างแท้จริง
ขอขอบใจน้องๆ คนเก่งทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์ และทำกิจกรรมทุกอย่างด้วยความตั้งใจ และขออภัยที่ระหว่างเก็บรายละเอียด อาจรบกวนการทำหน้าที่ของทุกฝ่าย ทั้งพระอาจารย์วิทยากร คุณครูและน้องๆ นักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมอยู่
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
โรงเรียนสมุยบริหารธุรกิจอบรมจริยธรรมที่ทีปภาวัน
เมื่อวันที่ ๑๗ ถึง ๑๙ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายเสนีย์ ใจเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียน สมุยบริหารธุรกิจ พร้อมด้วยคณะครู ได้นำคณะนักเรียนจำนวน ๔๕ คน มาเข้ารับการอบรมคุณธรรมจริยธรรมที่ทีปภาวันธรรมสถาน การอบรมมีทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการนำธรรมะไปเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และในส่วนของการอบรมจิตใจ ให้มีวินัย มีความอดทน มีสมาธิ
ตลอดการอบรมนักศึกษาแต่ละคน ต่างให้ความร่วมมือ แม้ว่าหลายคน อาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบาย และต้องฝืนและอดทนกับการนอนตื่นเช้า นั่งสวดมนต์ และนั่งฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องนานๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แต่ละคนไม่คุ้นเคยมาก่อน แต่นักศึกษาก็สามารถอดทนเข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่าง ที่ทางทีปภาวันธรรมสถานได้กำหนดให้
ในการฝึกอบรมครั้งนี้ พระอาจารย์มานพ ซึ่งเป็นพระวิทยากรจากสวนโมกขพลาราม เป็นผู้การให้การฝึกอบรมตลอดรายการ พระอาจารย์มานพ เป็นพระวิทยากรที่มีความชำนาญในการอบรมเยาวชนทุกรุ่น สามารถอบรมบรรยายได้ทุกลักษณะ การบรรยายทุกครั้งจึงครบครันทั้งเนื้อหาสาระ ความหรรษา และความซาบซึ้งกินใจ จึงเชื่อว่านักศึกษาแต่ละคนจะได้ข้อคิดและธรรมะ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน และได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย จากการรับการอบรมจากพระอาจารย์มานพในครั้งนี้
พร้อมกันนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักศึกษาที่เข้าร่วมอบรมจริยธรรมในครั้งนี้ เนื่องจากวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ตรงกับวันมาฆะบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ทุกปีทางทีปภาวันธรรมสถาน จะมีกิจกรรมฟังเทศน์และเวียนเทียนในวันนี้ โดยมีพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งขึ้นมาร่วมประกอบพิธี ที่ทางทีปภาวันธรรมสถานจัดขึ้น
ดังนั้นในปีนี้ นักศึกษาซึ่งอยู่ในระหว่างการอบรมจึงมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งในเวลาปกติทุกปีนักศึกษาหลายคนอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้ การได้มีโอกาสสัมผัสกับวัฒนธรรมประเพณีทางศาสนา ที่เป็นรากเหง้าของสังคมไทย จะช่วยให้นักศึกษาได้ซึมซับคุณค่าอันดีงามหลายอย่างที่แฝงอยู่ ซึ่งจะนำไปสู่การหล่อหลอมกล่อมเกลา ให้จิตใจเกิดความอ่อนโยนเยือกเย็น พร้อมทั้งเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย
แม้การเข้ามาฝึกอบรมในระยะเวลาอันสั้น จะไม่สามารถหวังผลอะไรได้มาก แต่ถือเป็นความพยายามที่น่าสรรเสริญ สำหรับผู้บริหารและครูอาจารย์ ในการพยายามนำสิ่งที่ดีเข้าสู่ชีวิตของนักศึกษาซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแล เป็นการช่วยให้นักศึกษาซึ่งอยู่วัยรุ่น อันเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ มีเกราะคุ้มกันชีวิตภายใน สามารถผ่านช่วงวัยสำคัญ ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ที่เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นความหวังของสังคมในอนาคตข้างหน้าต่อไป
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เยาวชนระดับประถมศึกษา ๑๐ โรงเรียนทั่วเกาะสมุย อบรมจริยธรรมที่สวนธรรมเภรี
นอกจากสวนธรรมเภรี จะเป็สถานที่ที่ใช้ในการอบรมจิตภาวนา หลักสูตรปกติสำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศแล้ว ทีปภาวันธรรมสถาน ยังใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมอบรมจริยธรรม แก่เยาวชนนักเรียนเกาะสมุยอีกด้วย
โครงการนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม และพัฒนาคุณภาพจิตใจ ที่ทางทีปภาวันธรรมสถาน โดยความดำริของหลวงพ่อโพธิ์ ได้จัดขึ้นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว
เมื่อวันอาทิตย์ ต้นเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวเป็นครั้งแรก แต่ก็อยู่ในฐานะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เสียมากกว่า
ผู้เขียนทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่า วันอาทิตย์นี้มีนักเรียนร่วมกิจกรรมครั้งนี้กว่า ๘๐ คน โชคดีว่าวันนี้อากาศปลอดโปร่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ฝนตกต่อเนื่องติดต่อกันมาแทบทุกวัน ตลอดเวลาประมาณ ๑ สัปดาห์ที่ผู้เขียนเดินทางมาถึงเกาะสมุย แต่ทางคณะผู้จัดอบรม ก็ได้เตรียมแผนสอง ไว้รองรับความไม่แน่นอนของฟ้าฝนล่วงหน้าไว้แล้ว โดยหากฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทางทีปภาวันธรรมสถานก็จะนำนักเรียน ขึ้นมาทำกิจกรรมบนทีปภาวันธรรมสถานแทน
เวลาประมาณ เก้าโมงเช้า ผู้เขียนเดินทางพร้อมด้วยพระอาจารย์สมชาย พระวิทยากรจากสวนโมกข์ ไชยา ซึ่งเป็นผู้ที่จะให้การอบรมจริยธรรม และนำนักเรียนฝึกสมาธิในวันนี้ ยังมีพ่อหลวงสัณฐาน และป้าวัน แม่ครัวกิตติมศักดิ์ประจำสำนัก โดยมีครูเสริฐ เป็นสารถี ขับรถพาพวกเรา ลงจากเขาทีปภาวัน มุ่งสู่ถนนเส้นหลักรอบเกาะ และขับต่อไปอีกประมาณสามกิโลเมตร ก็ถึงทางแยกขึ้นไปยังเขาป้อม
พื้นที่บริเวณเขาป้อม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนธรรมเภรี เป็นกลุ่มเทือกเขาสูงบริเวณกลางเกาะสมุย เนื่องจากข้อจำกัดของสภาพพื้นที่ดังกล่าว ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ ค่อนข้างจะท้าทายความสามารถของคนขับ และสมรรถนะของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ การเดินทางขึ้นเขาป้อม จนถึงสวนธรรมเภรีแต่ละครั้งนั้น ยังให้ความรู้สึกค่อนไปในทางผจญภัยเล็กน้อย เพราะรถต้องวิ่งไต่ไปตามเนินและสันเขาสูงตลอดช่วง
เก้าโมงครึ่ง ผู้เขียนก็เดินทางถึงสวนธรรมเภรี ท่ามกลางสภาพอากาศที่ปลอดโปร่งเย็นสบาย ขณะที่ไปถึงนั้น นักเรียนจากทุกโรงเรียน ที่จะร่วมกิจกรรมในวันนี้ เดินทางไปถึงเรียบร้อยแล้ว พื้นที่สวนธรรมเภรีประมาณ ๔ ไร่เศษในขณะนี้ จึงเต็มไปด้วยน้องนักเรียนระดับประถม ในชุดแต่งกายที่เรียบร้อย ซึ่งส่วนใหญ่ออกไปทางโทนสีขาว เข้าใจว่าคงเป็นคำขอของครู แต่นักเรียนจากบางโรงเรียนแต่งชุดพละ ที่ดูทะมัดทะแมง
ขณะแต่ละฝ่ายเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มกิจกรรม ผู้เขียนจึงเดินดูรอบๆ นักเรียนหลายคนกำลัง ตั้งใจจดคำสุภาษิตที่ติดอยู่ตามต้นไม้อย่างขะมักเขม้น เด็กบางคนเหลือบมาดูผู้เขียนเล็กน้อย ก่อนตั้งหน้าตั้งตาจดสุภาษิต่อ ภาพที่เห็นทำให้ผู้เขียนรู้สึกชื่นชม และอดปลื้มใจไม่ได้ ณ ตอนนั้น ผู้เขียนเอง ยังไม่รู้หรอกว่า ยังมีสิ่งที่จะทำให้ผู้เขียนทั้งทึ่งและปลื้มมากกว่านั้นอีก ในเวลาต่อมา
กิจกรรมช่วงเช้า ประกอบด้วย การรับฟังการอบรมคุณธรรมจากพระวิทยากร และนั่งสมาธิประมาณ ๒๐ นาที เมื่อถึงเวลาพักให้พระวิทยากรฉันเพล อาจารย์ที่นำคณะนักเรียนมาจะให้นักเรียน จดคำสุภาษิต และคติสอนใจ ตามป้ายที่ติดอยู่ตามต้นทุ้งฟ้าทั่วสวน โดยเลือกจดเฉพาะสุภาษิตที่ประทับใจมากที่สุด แต่นักเรียนหลายคน เลือกที่จะจดก่อน เมื่อเดินทางมาถึง
กิจกรรมช่วงบ่าย อาจารย์หัวหน้าโครงการ คือ ท่าน ผอ.สมศักดิ์ บุญสิน ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ จะให้นักเรียนทุกคนออกมาอ่านสุภาษิตที่แต่ละคนประทับใจ เพื่อแบ่งปันให้เพื่อน ๆ และทุกคนได้รับความรู้ด้วย หลังจากนั้นพระวิทยากรจะให้โอวาทธรรมะอีกเล็กน้อย ก่อนพานำนั่งฝึกสมาธิประมาณ ๑๕ นาที แล้วจึงเดินทางกลับ ในเวลาประมาณ บ่ายหนึ่งโมงครึ่ง
สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกทึ่งและตลึง ได้แก่ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า ที่นักเรียนวัยประถมแต่ละคน พยายามนั่งสมาธิกันด้วยความตั้งใจ เด็กบางคนนั่งขัดสมาธิเพชร ได้อย่างน่าทึ่ง นักเรียนบางคน นั่งนิ่งราวกะหุ่นปั้น แม้บางคนจะหลุกหลิกบ้าง แต่ถือเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเด็กในวัยนี้ ซึ่งสภาพแวดล้อม ในสังคมปัจจุบัน ส่งเสริมให้เขาเป็นคนหลุกหลิก และสมาธิสั้นอย่างรุนแรง ผู้เขียนคิดว่า การที่เขาสามารถคุมกายให้อยู่กับที่ได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว
เด็กนักเรียนเหล่านี้ ได้รับการส่งเสริมจากผู้ใหญ่ใจดี ด้วยการเปิดโอกาสนำพาพวกเขาสู่เส้นทางอันปลอดภัย จากภัยร้ายที่ทั้งเปิดเผย และแฝงเร้น อยู่รอบด้านในชีวิตพวกเขา ทั้งวันนี้และวันหน้า แม้เดียวนี้ จะยังรับประกันไม่ได้ว่า อนาคตของเขาจะเป็นเช่นใด แต่โอกาสแห่งการได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้ใหญ่ ซึ่งหวังเห็นอนาคตอันงดงามของพวกเขา จะมอบให้ได้ ดังนั้น แม้เป็นเพียงการเริ่มต้น ก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมอย่างสูง ทั้งต่อผู้ใหญ่ซึ่งพยายามมอบสิ่งที่ดีให้กับเด็ก ทั้งต่อเด็กๆ ซึ่งกำลังพยายามรับสิ่งที่ดีนั้นจากผู้ใหญ่
หลังจากที่นักเรียนทุกคน และคณะครู ซึ่งนำเด็กนักเรียนมาในวันนี้ รับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จ ก่อนถึงเวลาเริ่มกิจกรรมตอนบ่าย ผู้เขียนได้ขอสัมภาษณ์ อาจารย์
ผอ. สมศักดิ์ จึงเป็นผู้มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้การดำเนินกิจกรรมอบรมจริยธรรม สำหรับเยาชนนักเรียนเกาะสมุย สามารถดำเนินสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ประสานหลัก และทำหน้าที่เป็นวิทยากรผู้ร่วมดำเนินกิจกรรมนี้ด้วยและนอกจากนี้ ผู้เขียนยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ คุณครูอีกหนึ่งท่าน และเด็กนักเรียน ๓ คน ถึงความคิดเห็นและความรู้สึกที่ได้ร่วมกิจกรรมนี้
ผู้เขียนเริ่มคำสัมภาษณ์ด้วยคำถามเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการนี้ ผอ.สมศักดิ์ ได้กรุณาชี้แจงว่า
“เป็นการดำริของพระภาวนาโพธิคุณ ที่ต้องการยกระดับจิตใจของนักเรียนเกาะสมุย ผมและเพื่อนผู้บริหารในเกาะสมุยหลายๆ ท่าน เช่น ผอ. เบญจวรรณ บุญสิน ผอ. สาว ผอ. เยี่ยมศักดิ์ ผอ. เทพบรรจง ก็ได้ร่วมกันนำนักเรียนมาฝึกจิต ณ ที่นี้ หลายๆ โรงเรียน มีคณะอาจารย์ ที่เป็นตัวตั้งตัวตี ในเรื่องนี้ เช่น อาจารย์ อาภรณ์ ใจสว่าง ท่านก็ได้มาทุกครั้ง ในการชักชวนอาจารย์อื่นๆ เข้ามาร่วม เริ่มจาก ๓ โรงเรียน คือ โรงเรียน วัดสว่างอารมณ์ โรงเรียนวัดละไม โรงเรียนบ้านหาดงาม บุณฑริการาม มาหน้าค่าย สมุทราราม และตอนนี้ ก็โรงเรียนแหลมหอยอีกหนึ่งโรงเรียน ที่เข้ามาร่วม” "มีประมาณกี่โรงเรียน"
“ประมาณ ๑๐ โรงเรียนครับ ที่เข้ามาร่วมประจำ ตัวหลักจริงๆโรงเรียน โรงเรียนบ้านหาดงาม โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ โรงเรียนบุณฑิริการาม โรงเรียนวัดละไม โรงเรียนวัดกลาง”
ผู้เขียนถามถึงจำนวนนักเรียน ที่เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละครั้ง ผอ.สมศักดิ์ บอกว่า
“จำนวนนักเรียนเฉลี่ยให้ ๑๒ คน ต่อโรงเรียน ถ้าวันไหน โรงเรียนไหน ขาด โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ก็จะเอามาเพิ่ม เพื่อไม่ให้ขาดตอน”
“การอบรมต่อเนื่องมานานหรือยัง”
“ต่อเนื่องปีกว่าแล้วครับ เมื่อก่อนใช้เวลาทุกอาทิตย์ แต่พอมาปีที่สองนี้ สัปดาห์เว้นสัปดาห์”
“อาจารย์มีความคาดหวังหรือวัตถุประสงค์อย่างไรบ้างจากโครงการนี้”
“คาดหวังคือ เรื่องสมาธิครับ เรื่องสมาธิอย่างเดียว ที่เด็กยังไม่รู้จัก ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เด็กยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่นัก เด็กจะหันไปเอาทางหนัง ละคร เที่ยวเตร่ มากกว่า ก็เลยให้เด็กมาฝึกทางนี้ หาวิธีดึงเด็กจากอบายมุข มาสู่สิ่งนี้”
ในทางความร่วมมือจากผู้บริหารทุกโรงเรียน อาจารย์สมศักดิ์เล่าให้ทราบว่า
“ได้รับความร่วมมืออย่างดีครับ ส่วนที่ผมเอ่ยชื่อไปมีประมาณ ๑๐ โรงเรียน ที่ให้ความร่วมมือด้วยดี บางคนก็ลงทุนเรื่องสิ่งต่างๆ มาให้ นอกจากให้ครูให้นักเรียนมาแล้ว ยังมีอาหาร มีอะไรก็มาบริจาค”
เมื่อถามถึงความร่วมมือจากทางผู้ปกครอง ผอ. สมศักดิ์เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“ทางผู้ปกครอง ก็เห็นด้วย และยินดีครับ พอได้ข่าวว่าลูกจะมาปฏิบัติ หลายคนก็ดีใจครับ อย่างน้อยๆ หลายคนในเกาะสมุย สอนลูกไม่ได้ ก็ต้องพึ่งครูและพึ่งพระ ก็ในเมื่อพามาฝึกอย่างนี้ พอไปบ้านก็ได้ผล ผู้ปกครองก็เห็นด้วยครับ”
ผู้เขียนถามเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ที่เห็นได้ในตัวนักเรียนหลังจากที่ได้มาฝึกสมาธิ ท่านอาจารย์ตอบว่า
“สำหรับความเปลี่ยนแปลงของนักเรียน คงดูระยะยาว แต่เท่าที่เห็นแล้วในตอนนี้ นักเรียนมีสมาธิสูงขึ้น ยาวขึ้น เมื่อก่อนสมาธิสั้น เดียวนี้ ยาวขึ้น สอง ความรับผิดชอบก็จะมีมากขึ้น”
เนื่องจากโครงการลักษณะนี้ เพื่อจะให้เห็นผล จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนได้ถามความเป็นไปได้ในเรื่องนี้โครงการ
“โครงการนี้ ก็จะให้มีต่อไปเรื่อยๆ ในเมื่อพระภาวนาโพธิคุณ ท่านให้พระวิทยากรมา เราก็จะให้เด็กมาทุกๆ สัปดาห์ครับ”
“บางโรงเรียนสมัครใจมา บางโรงเรียนจัดมา อย่างของผมนี่เอาทั้งสองอย่างครับ สมัครใจมั่ง จัดมั่ง”
“อาจารย์คิดว่า มีปัญหาอุปสรรค และข้อที่ควรปรับปรุง หรือเพิ่มเติมอะไรไหมในโครงการนี้”
“คือเราต้องปรับปรุง และดูข้อบกพร่องแต่ละสัปดาห์ครับ ว่ามีอะไรบกพร่องมั่ง
ว่าจะปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้นต่อไป เช่นว่า เมื่อก่อนให้เด็กนักเรียน พูดอย่างเดียว
มาตอนหลังเราให้เขียนด้วย แล้วกลับไปทำเป็นวารสาร อย่างนี้เป็นต้น ว่าแต่ละสัปดาห์มีใครพูดอะไรมั่ง ความประทับใจของนักเรียน ว่าอย่างไร ผมก็จัดทำไว้สัปดาห์ละเล่ม”
ผู้เขียนหันมาขอสัมภาษณ์ คุณครูใจดีอีกหนึ่งท่าน ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน คือ อาจารย์อาภรณ์ ใจสว่าง จากโรงเรียนวัดกลาง ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย ซึ่งได้นำนักเรียนมาร่วมกิจกรรมอบรมคุณธรรมในวันนี้
“อาจารย์นำนักเรียนมากี่ครั้งแล้ว”
“ตั้งแต่ท่านอาจารย์สมศักดิ์ ติดต่อไป หลังจากที่เปิด ก็ประมาณครึ่งปีน่าจะได้ อาจารย์เพิ่งติดต่อไปตอนหลัง ตั้งแต่ติดต่อไปก็มาทุกครั้ง นี่ก็ประมาณปีกว่าได้แล้วค่ะ”
ผู้เขียนได้ถามต่อไปถึงความร่วมมือในกิจกรรมนี้ ของทางเด็กนักเรียน และผู้ปกครอง
“ทางผู้ปกครองและนักเรียนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แล้วก็อยากมาเยอะ แต่การมานี่ รถที่จะพาขึ้นมา ถ้าเกิน ๑๐ คน ไม่ค่อยจะได้ จึงต้องกำหนดมา บางทีนักเรียน สมัครใจจะมาตั้ง ๑๕ ๑๖ คน แต่ได้เพียง นักเรียน ๑๐ คน หรือ ๑๒ คน แล้วก็ครูอีก ๑ คน คือ นักเรียน ที่มาแล้ว กลับไปอยากจะมาอีก เขาชอบธรรมชาติ ชอบสิ่งที่ให้ทำ ดูแล้วไม่น่าเบื่อ กลับไปโรงเรียน ทางโรงเรียนก็จะให้บันทึกแหล่งเรียนรู้ หมายความว่า นักเรียนต้องไปเขียนไปศึกษาแหล่งเรียนรู้ส่งครูด้วย ก็จะมีเกี่ยวกับคติ และเกี่ยวกับอาจารย์สอนอะไรไปบ้าง เพื่อส่งคุณครูทุกครั้ง”
“อาจารย์คิดว่า การนำเด็กมาฝึกสมาธิบนนี้ มีส่วนช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้างให้กับเด็กนักเรียน”
“มีมากมายเลยค่ะ เพราะวันเสาร์วันอาทิตย์เด็กจะติดเกม ตอนนี้ จะมีร้านเกมเยอะแยะ พอเช้าขึ้นมาปุ๊บ พอนักเรียนทานเข้าเสร็จ นักเรียนก็จะไปเล่นเกม แต่ถ้าได้มาปฏิบัติธรรม จะทำให้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และได้ความรู้ด้วย เมื่อมาฝึกมาได้สมาธิตรงนี้ เวลาเรียน เขาก็จะได้รับประโยชน์จากตรงนี้อีกเยอะ คนที่ไม่ค่อยมีสมาธิ ก็มีสมาธิ เพิ่มขึ้นค่ะ ก็เห็นได้ แต่ก็ไม่ใช่แบบรวดเร็ว เพราะต้องใช้เวลา แล้วเด็กก็มีความรับผิดชอบ เช่นสั่งว่า นักเรียนต้องมานะ ต้องเอาสมุดมาดินสอมานะ พอนักเรียนมาถึงก็รีบจดแล้ว ฟังคำสั่งของครู”
“นักเรียนที่มาวันนี้มีระดับประถมไหนบ้าง”
“ตอนแรกๆ ที่มาก็เป็น ป.๔ ป.๕ ป.๖ เปลี่ยนๆ กัน แต่สำหรับวันนี้ พอดี นักเรียน ป. ๔ ป.๕ ป. ๖ เขาฝึกลูกเสือ เมื่อวานเหนื่อยทั้งวัน ก็เลยเอาป.๓ มา นักเรียนก็ชอบค่ะ พวกตัวเล็ก”
ผู้เขียน กลับมาถาม ผอ. สมศักดิ์อีกครั้งว่ามีปัญหาหรืออุปสรรค ที่จะทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการนี้ต่อไปไหม
“เท่าทีผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร ในเมื่อทางทีปภาวัน มีรถรับส่ง มีอาหาร เราก็น่าที่จะพาเด็กมานะครับ เด็กที่มายังจะช่วยนำไปเผยแพร่ให้เพื่อนในโรงเรียน คนที่ไม่ได้มาได้รู้ คนที่มานี้ นักเรียนของผม บางคนมาสามครั้ง สี่ครั้ง แล้วนะครับ คือ มาครั้งหนึ่ง แล้วก็อยากจะมาอีก”
ผอ.ตอบอย่างหนักแน่น ด้วยความมั่นใจว่า ตราบใดทางทีปภาวันธรรมสถานให้กับส่งเสริมสนับสนุน โครงการนี้ก็น่าจะสามารถดำเนินได้ต่อไป เพราะเด็กที่มาแล้ว เป็นเหมือนสื่อที่จะชักชวนเพื่อนให้อยากกันต่อไป
ผอ.สมศักดิ์กล่าวถึง การกระจายข่าวเกี่ยวกับ กิจกรรมนี้ ให้เป็นที่รับทราบในวงกว้างว่า
“ก็จะเอาเข้าที่ประชุม จะพูดในที่ประชุม ถ้าใครต้องมา ไม่มีปัญหาอะไร ก็ยินดีต้อนรับครับ ถือว่าประสบความสำเร็จ เริ่มจากสามโรงเรียน เดียวนี้ก็เป็น ๑๐ โรงเรียนแล้ว ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คิดว่ายังน่าจะมีอีก จากโรงเรียนระดับประถม ๒๒ โรงเรียนในเกาะสมุย”
หลังจากสัมภาษณ์ท่านอาจารย์ทั้งสองเสร็จแล้ว ผู้เขียนจึงหันไปสัมภาษณ์เด็กนักเรียน ๓ คน ซึ่งมานั่งอยู่ข้าง ๆ ฟังผู้เขียนและคุณครูทั้งสองท่าน พูดคุยกันมาแต่ต้น เด็กนักเรียนทั้ง ๓ คนเป็นตัวแทนจากโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ โรงเรียนวัดกลาง และโรงเรียนวัดนาราเจริญสุข
คนแรก คือ น้องไอซ์ เด็กหญิงไอรดา จันทร์แจ่ม อายุ ๑๒ ปี ชั้น ป. ๖โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์
"มากี่่ครั้งแล้ว"
ผู้เขียนถามคำถามแรก
“มาสองครั้งค่ะ”
“เคยทำสมาธิไหม ก่อนที่จะมาฝึกที่นี่”
“เคยทำที่โรงเรียนค่ะ อาจารย์สะอิ้งสอน”
“ตอนฝึกสมาธิเป็นอย่างไรบ้าง”
“จิตนิ่งเป็นบางช่วงค่ะ”
“มาที่นี่ดีขึ้นไหม”
“ดีขึ้นค่ะ”
“แล้วรู้สึกประทับใจอะไรบ้างที่นี่”
“ประทับใจธรรมชาติค่ะ”
“แล้วคิดว่าสมาธิมีประโยชน์อย่างไรบ้าง”
“ทำให้จิตนิ่ง และอยู่สบาย สดชื่นกับธรรมชาติค่ะ”
“คิดว่าสมาธิมีผลทำให้การเรียนดีขึ้นไหม”
“ดีขึ้นค่ะ”
“เคยฝึกสมาธิที่บ้านไหม”
“เคยอยู่ครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกนิ่งดี”
“ถ้างั้นต้องฝึกบ่อยๆ นะ”
“ค่ะ”
“ถ้ามีโอกาส หนูจะมาขึ้นมาอีกไหม”
“มาอีกค่ะ”
น้องสิบ เด็กชายชลวัฒน์ แพ่งโยธา อายุ ๑๑ ปี นักเรียนชั้น ป. ๕ โรงเรียนบ้านหาดงาม เป็นเด็กทั้งเรียนคนต่อมา ที่ผู้เขียนได้ขอสัมภาษณ์ จากการพูดคุยสอบถาม ทราบว่า น้องสิบมาที่นี่เป็นครั้งแรก และประทับใจในสภาพของธรรมชาติที่เขาธรรมเภรีแห่งนี้ เช่นเดียวกับน้องไอซ์ น้องสิบเคยฝึกสมาธิที่โรงเรียนมาก่อน และยังเคยเข้าค่ายอบรมคุณธรรม ซึ่งมีพระอาจารย์จากทางสวนโมกขพลารามมาเปิดที่วัดสำเร็จมาก่อน ผู้เขียนลองถามน้องสิบ ว่า “กลับไปแล้วจะฝึกไหม”
น้องสิบตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ทำอีกครับ”
กับคำถามต่อมา “คิดว่าสมาธิมีประโยชน์อย่างไร”
น้องสิบตอบว่า “ทำให้สมองปลอดโปร่ง เรียนได้ดีขึ้นครับ”
น้องมิ้ว หรือ เด็กหญิง ธิติมา ไชยลังกา อายุ ๑๒ ปี นักเรียนชั้น ป.๖ โรงเรียนวัดนาราเจริญสุข เป็นคนสุดท้าย ที่ผู้เขียนขอสัมภาษณ์ ก่อนจะได้เวลาที่ ผอ. สมศักดิ์จะเริ่มกิจกรรมช่วงบ่าย
“มาได้ เจ็ด แปด ครั้งแล้วล่ะ”
“โอ้โห เจ็ด แปดครั้งแล้ว”
“ค่ะ”
“แสดงมา มีกิจกรรมทุกครั้ง หนูก็ขอมาทุกครั้งใช่ไหม”
“ค่ะ”
“หนูคิดว่าสมาธิมีประโยชน์อย่างไร”
มิ้ว ตอบทันทีอย่างมั่นใจว่า
“มีประโยชน์ทำให้เรียน และทำกิจกรรมได้ดีขึ้นค่ะ”
“เคยฝึกสมาธิที่บ้านไหม”
“เคยเป็นบ้างครั้งค่ะ”
“มาที่แล้ว สมาธิดีขึ้นเรื่อยๆ ไหม”
“ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”
เมื่อถามถึงความประทับใจในการเข้ามาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ น้องมิ้วตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใสชัดเจนว่า
“ประทับใจที่มีเพื่อนร่วมนั่งสมาธิกันเยอะค่ะ”
ผู้เขียนจบการสัมภาษณ์ อาจารย์ทั้งสองท่าน และเด็กนักเรียนทั้งสามคน ในเวลาพอดีกับที่ ผอ.สมศักดิ์ กำลังจะเริ่มกิจกรรมในช่วงบ่าย ด้วยการให้นักเรียนแต่ละคนพร้อมทั้งอาจารย์แต่ละท่าน จากโรงเรียนต่างๆ ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น และนำกระดาษที่บันทึก คติธรรมต่างๆ ที่ประทับใจ ซึ่งติดอยู่ที่ป้ายตามต้นทุ้งฟ้า มาอ่านและบอกความหมาย (หรืออ่านอย่างเดียวก็ได้) เนื่องจากต้องพูดผ่านเครื่องขยายเสียง ทำให้ทุกคนที่มาร่วมกิจกรรมได้ยินพร้อมกันไปด้วย กิจกรรมนี้ จึงมีประโยชน์จากการที่ทุกคนจะได้รับฟังคติธรรม หรือสุภาษิตเตือนใจต่างๆ เก็บไปเป็นข้อคิด และข้อปฏิบัติที่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตต่อไป
วันนี้ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับทุกคน เนื่องจากหลวงพ่อโพธิ์ ท่านได้มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ด้วย ซึ่งโดยปกติ เนื่องจากภารกิจพระศาสนาท่านมีมาก ส่วนใหญ่ท่านจะไม่สามารถมาร่วมในกิจกรรมในส่วนนี้ได้ ท่านจึงส่งเฉพาะพระวิทยากรมาทำหน้าที่ตรงนี้แทน
กิจกรรมปิดท้ายในวันนี้ เป็นการรับฟังโอวาทจากหลวงพ่อโพธิ์ และนั่งสมาธิอีก ๑๐ นาที หลังจากนั้น หลวงพ่อได้นำแผ่เมตตา และอวยพรและให้สติเตือนใจ ให้นักเรียนทุกคนมีความก้าวหน้าในการศึกษา และเป็นเด็กที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครู เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดา
หลังจากจบกิจกรรมสุดท้ายแล้ว เด็กนักเรียน พร้อมด้วยคณะครูอาจารย์ พากันทยอยเดินทางกลับจนหมด วันนี้ จิตใจดวงน้อยของเยาวชนในโครงการ ได้รับการกล่อมเกลา หล่อหลอม อีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การดูแลและส่งเสริมสนับสนุน จากผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย และยังคงจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมายังสวนธรรมเภรีอีกในครั้งต่อไปๆ
สวนธรรมเภรี กลับเข้าสู่สภาพปกติ ตามลักษณสภาพอันโดดเด่นบนยอดเขา ต้นทุ้งฟ้ายืนต้นตระหง่านสง่า กิ่งก้านกลุ่มใบโบกพลิ้ว และโยกไหวตามแรงลม แสงแดดทอดผ่านช่องว่างระหว่างต้นและกิ่งใบ ส่องกระทบพื้นพอรำไร โขดหินขนาดใหญ่น้อย หลากรูปร่างลักษณะ ตั้งเด่นเป็นช่วงๆ อย่างเหมาะเจาะ เมื่อจบบทบาทแห่งความเป็นธรรมสถานในครั้งนี้ สวนธรรมเภรี ก็แสดงบทบาท อันเป็นปรากฏการณ์แห่งธรรมชาติ ที่มีความเปลี่ยนแปลง และเป็นไป ทั้งแบบเงียบงัน และโจ่งแจ้ง ของตนต่อไป รอคอยการกลับมาร่วมกันใช้สอย และสร้างสรรค์ประโยชน์ของกัลยาณชนทุกเพศทุกวัย ผู้มีใจรักความดี อีกครั้งในคราวหน้า
ผู้เขียนรู้สึกยินดี ที่ได้นำเสนอสิ่งดีๆ จากโครงการดีๆ ที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้น ณ เกาะสมุยแห่งนี้ เพื่อส่งเสริมเรื่องราวดีๆ ให้เป็นที่เปิดเผยและรับรู้ เป็นการเพิ่มพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์และจรรโลงใจ ขึ้นมาในสังคมภายนอก และในโลกแห่งการรับรู้ภายในจิตใจของทุกคนที่ได้รับทราบเรื่องราวนี้
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า การแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้ได้เป็นที่รับรู้และยินดีในวงกว้าง จะไปแบ่งส่วนและเจือจาง เรื่องราวร้ายๆ แย่ๆ ที่ปรากฏอยู่ตามสื่อให้เรารับรู้กันมากจนเกินไป มากจนหลายคนอาจจะเชื่อไปแล้วว่า โลกนี้เหลือแง่มุมดีๆ ให้มองยากเต็มที่ แม้พยายามที่จะมองโลกในแง่ดีก็ตาม
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า การแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้ได้เป็นที่รับรู้และยินดีในวงกว้าง จะไปแบ่งส่วนและเจือจาง เรื่องราวร้ายๆ แย่ๆ ที่ปรากฏอยู่ตามสื่อให้เรารับรู้กันมากจนเกินไป มากจนหลายคนอาจจะเชื่อไปแล้วว่า โลกนี้เหลือแง่มุมดีๆ ให้มองยากเต็มที่ แม้พยายามที่จะมองโลกในแง่ดีก็ตาม
ผู้เขียนขอแสดงความชื่นชม ผู้บริหารและเด็กนักเรียนจากสถานศึกษาทั้ง ๑๐ แห่ง ทุกคนทุกท่าน ที่ได้เสียสละและให้ความร่วมมือกัน ทำสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
กิจกรรมที่ทุกคนกำลังร่วมกันทำอยู่ นอกจากจะเป็นการสร้างแง่ดีให้กับโลก และเป็นการสร้างสรรค์สิ่งมาหล่อเลี้ยงและเยียวยาสังคมแล้ว จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทุกคนกำลังสร้างรากฐานอันมั่นคงของโลกและสังคมในอนาคต ให้เป็นโลกและสังคมที่มีความร่มเย็นและปลอดภัย ดังอมตะพจนา ของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ “ศีลธรรมของเยาวชน คือ อนาคตของโลก”
หมายเหต
ปัจจุบันนี้ มีโรงเรียนระดับประถมศึกษาทั้งหมด ๑๐ โรงเรียน ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ได้แก่
๑.โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์
๒.โรงเรียนวัดกลาง
๓.โรงเรียนวัดหาดงาม
๔.โรงเรียนวัดนาราเจริญสุข
๕.โรงเรียนวัดบุณฑริการาม
๖.โรงเรียนบ้านแหลมหอย
๗.โรงเรียนบ้านหน้าค่าย
๘.โรงเรียนวัดสมุทราราม
๙.โรงเรียนวัดละไม
๑๐.โรงเรียนวัดคุณาราม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)