ลานธรรมขีรธารา เป็นมุมปฏิบัติอันสงบเงียบอีกแห่งหนึ่งของทีปภาวันธรรมสถาน ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาสูง โดยมีเทือกเขาโอบรอบสองด้าน มีทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นเชิงเขาที่เขียวครึ้มด้วยหมู่ไม้ ค่อยๆทอดต่ำสู่พื้นเบื้องล่าง ประกอบกับท้องฟ้าและทะเลที่ปรากฏอยู่ถัดไป เป็นฉากหลังในกรอบการมองของสายตา ทำให้เกิดเป็นมุมมองที่มีมิติ ความลึก กว้าง ไกล เกลี่ยให้เกิดสมดุลทางความรู้สึก ไม่เป็นทิวทัศน์ที่สวยแต่เรียบด้าน หรือแข็งทื่อ
มุมมองทิวทัศน์จากลานธรรมขีรธารา
หากสภาพอากาศอำนวยหลวงพ่อโพธิ์ จะนำผู้ปฏิบัติทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ขึ้นมาปฏิบัติ ในวันท้ายๆ ของการอบรม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งการได้ปฏิบัิติท่ามกลางสภาพธรรมชาติดั้งเิดิม ที่ไร้การปรุงแต่งนั้น ผู้ปฏิบัติจะได้เรียนรู้ว่า มีส่วนเหนี่ยวนำใจให้เกิดสติและความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น
ผู้เข้าคอร์ส นั่งเจริญจิตภาวนาที่ลานธรรมขีรธารา ฝั่งซ้าย
ลานธรรมขีรธารา อยู่ห่างจากทีปภาวันธรรมสถานประมาณ ๕๐๐ เมตร โดยเดินออกไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านทีปภาวันธรรมสถาน ออกไปสู่เชิงเขาด้านหลัง เมื่อเดินไปได้สัก ๒๐๐ เมตร ทางก็จะเริ่มสูงชัน และเพื่อความปลอดภัย ทางสำนักได้จัดไม้เท้าสำหรับค้ำยันไว้ให้ทุกคน ก่อนหน้านี้แล้ว
ผู้ปฏิบัติที่ลานธรรมขีรธาราฝั่งขวา
แม้ทางเดินขึ้นจะสูงชัน แต่ก็เป็นขั้นบันไดปูนซีเมนต์ ให้สามารถเดินวางเท้าได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ทางสำนัก ก็จะประเมินสภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติมาก่อนหน้านี้แล้วว่า จะเดินขึ้นไหวหรือไม่ ซึ่งการประเมินร่างกายนั้น ไม่เกี่ยวกับวัยหรืออายุ เพราะมีคุณยายอายุ ๘๓ ปี เดินขึ้นจนถึงลานธรรมขีรธารา
การเดินขึ้น เป็นทั้งการออกกำลังกาย และหากทำสติกำกับ ก็จะเป็นการเดินจงกรมไปพร้อม ทำให้ได้อุ่นเครื่องกรรมฐานไปในตัว เมื่อเดินถึงลานธรรมขีรธาราแล้ว จิตก็พร้อมที่จะได้รับการฝึกฝนด้วยรูปแบบของอานาปานสติกรรมฐาน ลมหายใจย่อมจะปรากฏชัด และไม่ติดขัด เพราะการเดินขึ้นสู่ที่สูงชัน ทำให้ระบบหายใจทำงานหนักขึ้น ร่างกายได้ฟอกปอด เมื่อได้หยุดพักหลังจากเดินถึงแล้ว ระบบการหายใจก็จะเข้าที่และเรียบสม่ำเสมอ
คุณยายรอง อายุ ๘๓ ปี ผู้ปฏิับัติขาประจำ ยังแข็งแรง เดินขึ้นสู่ลานธรรมขีรธาราได้สบาย
ธรรมขีรธารา มีความหมายว่า สายน้ำนมแห่งพระธรรม หลวงพ่อโพธิ์ ท่านตั้งชื่อนี้ คงมีนัยแฝงในแง่ที่ว่า ร่างกายของคนเรา เติบใหญ่ขึ้นมาได้ ด้วยการหล่อเลี้ยงจากน้ำนมของมารดา ส่วนจิตวิญญาณจะเติบโตได้ ก็ต้องอาศัยการหล่อเลี้ยงจากน้ำนมคือพระธรรมนั้นเอง เราดื่มน้ำนมมารดา โดยการป้อนจากมารดา แต่น้ำนมคือ พระธรรมนั้น เราต้องขวนขวายหามาหล่อเลี้ยงตนเอง ด้วยความพากเพียรในทางแห่งการศึกษาพระธรรม แล้วปฏิบัติตาม เพื่อให้จิตวิญญาณของเรา เติบใหญ่และเข้มแข็ง เป็นจิตวิญญาณที่สามารถต้านทานและรับมือกับความทุกข์ได้ทุกรูปแบบ