วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

พระนวกะจากสวนโมกข์เข้าคอร์สภาวนาที่ทีปภาวันฯ



แสงธรรม ส่องทาง

หลังนั่งฟังโอวาทจากหลวงพ่อ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด เพื่อเป็นการปิดการอบรมกรรมฐานเป็นวันสุดท้าย พระนวกะที่บวชจำพรรษา ๓๐ รูป ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อให้เดินออกกำลังเพื่อเป็นการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ระยะทางไปกลับประมาณ ๓ กิโลเมตร โดยหลวงพ่อได้กำหนดเส้นทางไว้แล้ว และจะเป็นองค์เดินนำในครั้งนี้

พระนวกะทั้งหมด พร้อมพระพี่เลี้ยง เดินลงจากศาลาปฏิบัติธรรม เป็นแถวเรียงหนึ่ง สองแถว เดินตามหลวงพ่อออกนอกบริเวณสำนัก ย้อนออกไปตามถนนทางเข้าสำนักเกือบครึ่งกิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนลูกรังแคบๆ ที่มีแนวร่มไม้ปกคลุม เจ้าสำเร็จ สุนัขตัวผู้ มีลักษณะของพันธุ์บางแก้วผสมอยู่ วิ่งนำขบวน และบางครั้งก็เดินรั้งท้าย ทำตัวราวกับเป็นผู้ตรวจแถวให้ทุกรูปอยู่ในความเรียบร้อย บางครั้งก็วิ่งมางับไม้เท้าที่หลวงพ่อถือเพื่อป้องกันการเดินสะดุด แล้วดึงลากขึ้นเดินนำหน้า เหมือนกับจะบอกว่า หลวงพ่อเดินช้าไปแล้วนะ

เดินมาได้ประมาณสี่สิบห้านาที เข้าสู่เขตพื้นที่ที่มีต้นไม้สูงใบหนาดกเขียวเข้ม ขึ้นอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นต้นมะพร้าว ที่ตั้งต้นสูงตระหง่าน ขึ้นเรียงรายทั่วบริเวณ โขดหินทรายขนาดใหญ่ตั้งแทรกแซมอยู่เป็นจุดๆ ดูเหมาะเจาะและลงตัว ดูแล้วเหมือนเป็นประติมากรรมธรรมชาติที่มาช่วยแต่งเติมให้พื้นที่ดูโดดเด่น มากกว่าที่จะทำให้ดูระเกะระกะ ทั่วภาคพื้นเบื้องล่าง ถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าตะไคร้ลิงสีเขียวอ่อน เมื่อทอดระยะสายตาทะลุลอดช่องว่างระหว่างกลุ่มต้นมะพร้าวเหล่านั้นออกไป จะเห็นท้องฟ้าเป็นฉากหลัง เดินถัดจากนั้นเข้าไปอีก ๕๐๐ เมตร จะพบลานหินขนาดใหญ่ อยู่ริมหน้าผาพอดี พื้นที่กว้างพอสำหรับคน ๓๐ คนนั่งได้ ริมหน้าผาไม่มีอะไรกั้นไว้จึงต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ

มองลงจากลานหินในจุดที่เกือบชิดริมผา จะเห็นสีเขียวครึ้มของกลุ่มต้นไม้ที่ขึ้นหนาแน่น ตามแนวหน้าผาที่ความสูงชันค่อยๆลาดเอียงลดหลั่นลงไปถึงพื้นด้านล่าง เมื่อทอดสายออกไปเบื้องหน้า จะเห็นแนวเขาอีกเทือกหนึ่ง ที่ทอดต่ำลงสู่พื้นราบริมชายฝั่ง มีบ้านพักตากอากาศสร้างอยู่เป็นบางช่วงของไหล่เขา และจากจุดที่ยืนอยู่สามารถมองเห็นย่านหาดละไมได้ทั้งหมด

เมื่อมองออกไปจนสุดสายตา จะแลเห็นเหมือนขอบฟ้าและทะเลมาบรรจบกัน แสงอาทิตย์กำลังสาดส่องทะลุหมู่เมฆสีฟ้าคราม ความครึ้มของเมฆ บวกกับบรรยากาศของรุ่งอรุณที่ยังไม่คลายความสลัว ทำให้เห็นแสงที่ส่องลงมาเป็นลำอย่างชัดเจน เมื่อลำแสงสีขาวตกกระทบพื้นทะเล ก็แผดแผ่แสงสว่างจ้าไปตามพื้นทะเล กระจายออกเป็นรัศมีโดยรอบ อาณาบริเวณพื้นทะเลตรงนั้น จึงปรากฏต่างจากบริเวณอื่นที่เป็นสีครามเข้มอยู่ตามเดิม ปรากฏการณ์นี้ ได้สร้างความสนใจให้แก่เหล่าพระนวกะ ที่กำลังชมทิวทัศน์อยู่ไม่น้อย ก่อนเดินกลับจึงได้พากันตั้งชื่อ สถานที่แห่งนี้ว่า ผาแสงธรรม

เกาะสมุยมีหลากหลายมุม ทั้งมุมสวยงามและมุมสนุกสนาน สำหรับสถานที่แห่งนี้ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นมุมสงบ และเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นเกาะสมุย เป็นภาพที่เห็นจนชินตาของคนพื้นที่ แต่เป็นเสน่ห์ที่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ที่เหล่าพระนวกะได้มาเข้าอบรมปฏิบัติธรรม ก็นับได้ว่าเป็นมุมสว่างแห่งเกาะสมุย เป็นมุมที่จะมอบแสงสว่างทางใจ ให้แก่ผู้ที่มีความตั้งใจอาศัยพุทธธรรมเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตของตน

พระนวกะส่วนใหญ่ลาสิกขาไปประกอบอาชีพการงานของตนตามเดิม มีบางรูปที่ยังไม่ลาสิกขา ยังศรัทธาที่จะขออาศัยวิถีชีวิตของบรรพชิตเป็นเครื่องแสวงหาคุณค่าและสาระของชีวิตต่อไป

แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ยามฟ้าสางทำลายความมืดบนผืนโลก ธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เปรียบเหมือนแสงสว่างที่จะส่องทางให้ชีวิตที่กำลังมืดมนเพราะหาทางออกจากความทุกข์ไม่พบ พระนวกะเหล่านี้ บวชอบรมฝึกฝนตนเป็นเวลา ๓ เดือน คงจะได้รับแสงธรรมตามกำลังสติปัญญาของตน ไปเป็นเครื่องส่องทางให้ดำเนินทางโลกได้ดีขึ้น โดยสามารถดำเนินชีวิตอย่างรู้ความหมาย รู้ทิศทาง ไม่หลงนำชีวิตไปติดอยู่กับบ่วงแห่งความทุกข์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น