วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าจากทีปภาวันฯ "สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น"


พ่อหลวง พระประจำสำนัก

โอ้ วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลเลย หาดูยากนะนี่ พ่อหลวงเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองไปยัง ภาพพระอาทิตย์ดวงโตสีส้มเข้ม จนเกือบเป็นสีแดง ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ด้วยความที่ผืนทะเลด้านทิศตะวันออก ในจังหวะเวลานั้น ไม่มีเมฆบดบัง ทำให้แลดูคล้ายพระอาทิตย์กำลังลอยขึ้นจากทะเล

นี่เขาเรียกว่า ภาพปรากฏนะมหา ไม่ใช่ภาพจริง พ่อหลวงเรียกชื่อปรากฏการณ์ที่กำลังอยู่ต่อหน้า พ่อหลวงพูดทิ้งค้างไว้เท่านั้น ผู้เขียนจึงถามกลับไป ด้วยความสงสัย ยังไง เหรอครับ พ่อหลวง


ทุกหกโมงเช้า ผู้เขียนและพ่อหลวง จะเดินสะพายบาตร ลงเขาไปตามถนนคอนกรีตเพื่อออกรับบิณฑบาต โดยมีสำเร็จสุนัขประจำสำนัก ตามมาส่งเป็นระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตร จนถึงเขตหวงแหนของสุนัขเจ้าถิ่นตัวอื่น จึงวิ่งกลับสำนัก ซึ่งก็ดูเหมือนสำเร็จจะชอบและพอใจกับกิจวัตรประจำวันอันนี้ของมันมาก ดูได้จากทุกเช้า สำเร็จจะมีสีหน้าและท่าทางที่แสดงความร่าเริงยินดีทุกครั้ง ที่ได้เห็นพระเดินถึงโรงครัว ซึ่งติดอยู่กับทางเดินออกจากสำนัก

ภาพที่เห็นเป็นเพียงภาพปรากฏ มิใช่ภาพที่แท้จริงของดวงอาทิตย์ มุมของโลก จากจุดที่เรามอง จะอยู่เฉียงกับดวงอาทิตย์ อีกทั้งต้องผ่านชั้นบรรยากาศอีกหลายชั้น ทำให้ภาพที่เห็นไม่ใช่ภาพที่แท้จริงของพระอาทิตย์ เหมือนเราจุ่มไม้ลงไปในน้ำ เงาของไม้ที่ปรากฏในน้ำจะหักงอใช่ไหมหละ เงาของไม้ที่เรามองเห็น จึงไม่ใช่ภาพที่แท้จริงของไม้

สำเร็จ


อ๋อ ใช่ครับ พ่อหลวง

ภาพพระอาทิตย์นี่ก็เหมือนกันพ่อหลวงกล่าวสรุป

พ่อหลวง จบคณะวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้นๆ ของเมืองไทย และเป็นอดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจ ของทั้งกรมชลประทาน และการไฟฟ้าฯ พ่อหลวงจึงมีเรื่องเล่า และประสบการณ์การทำงานมาเล่าให้ผู้เขียนฟังเสมอ ผู้เขียนจึงมักจะได้รับเกร็ดน่ารู้ที่ไม่เคยรู้หลายอย่าง จากการสนทนากับพ่อหลวง โดยเฉพาะเรื่องธรรมชาติวิทยา ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ พ่อหลวงจะชำนาญเป็นพิเศษ พ่อหลวงสามารถพยากรณ์อากาศในแต่ละวันได้ และในช่วงต่างๆ ได้ จากการสังเกต ปรากฏการณ์ ในเรื่องทิศทางของเมฆ ของลม และสีสันบนท้องฟ้าที่เกิดจากแสงสะท้อนของพระอาทิตย์กับก้อนเมฆ

หลายท่านที่เคยเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ทีปภาวันธรรมสถานบ่อยๆ ต้องรู้จัก และคุ้นตากับพ่อหลวง พ่อหลวงในความรู้สึกของผู้เขียน เป็นพระที่ขยัน เ่ก่งหลายด้าน เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ทุกวันนี้ต้องกล่าวแล้วว่า ท่านเป็นไม้เป็นมือที่ขาดไม่ได้ของหลวงพ่อโพธิ์ในส่วนของทีปภาวั

ปี ๒๕๕๐ ผู้เขียนจำพรรษาที่สำนักทีปภาวันฯ ด้วยกันกับพ่อหลวง ปีนี้พ่อหลวงอายุได้ ๗๒ ปีแล้ว ผู้เขียนไม่พบพ่อหลวงมาปีกว่า แต่พ่อหลวงยังดูแข็งแรงดีเหมือนเดิม ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพ่อหลวงได้ออกกำลังกายทางอ้อม ด้วยการเดินบิณฑบาต อีกทั้ง พื้นที่ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักจะอยู่บนเขา ซึ่งจะมีพื้นที่ราบให้ก่อสร้างเป็นเนินที่ราบเป็นช่วงๆ แต่ละช่วงจะอยู่บนความสูงต่ำที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ การเดินจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งภายในสำนัก ต้องอาศัยการเดินขึ้นเดินลงระหว่างเนินหนึ่งกับอีกเนินหนึ่งเป็นประจำ

บทสนทนาสั้นๆ กับพ่อหลวงในเช้าวันนั้น ทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องราวหรือสิ่งต่างๆ ที่ชีวิตรับรู้เกี่ยวข้อง อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเสมอไป เพราะหากสืบสาวถึงที่มาที่ไปจริงๆ อาจมีความจริงหลายอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่เห็นว่าเลวร้าย ก็อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด หรือหากเลวร้าย ก็อาจมีแง่มุมที่ถือเอาเป็นประโยชน์ได้ สิ่งที่เห็นว่าดี อาจเป็นเพียงสิ่งลวงตา ที่มีความเลวร้ายแอบแฝงอยู่ การมีใจที่เป็นอคติ จากความรัก ความโกรธเกลียดริษยา จากความกลัว และจากความหลงผิด คือสาเหตุทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง

พระอาทิตย์ในเช้าวันนั้นแสดงตัวอย่างปรากฏการณ์ของสิ่งที่ถูกเงื่อนไขต่างๆ มาบิดเบือนไม่ให้ภาพที่แท้จริงของตน ภาพพระอาทิตย์ที่ถูกบิดเบือนอาจดูสวยงามและน่าตื่นตา แต่ความจริงที่ถูกปกปิดหรือบิดเบือนด้วยอคติ ไม่ได้ส่งผลดีแก่ใครเลย เพราะจะทำให้เกิดการหลงผิด และปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างผิดพลาด ซึ่งการปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานของความไม่รู้จริง หลายครั้งหลายครา เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆ หรือปัญหาต่างๆ ตามมาให้ต้องสะสางไม่สิ้นสุด

ในเบื้องต้น การเป็นคนหนักแน่น และไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผลและข้อมูลที่รอบด้าน ไม่ด่วนสรุปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเฉพาะหน้า จะเป็นการช่วยชะล้างอคติออกจากใจ ซึ่งจะทำให้เห็นความเป็นจริง ตามที่เป็นจริงๆ ของสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ บุคคล เป็นต้นที่ชีวิตเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้มากขึ้น

หากกล่าวในระดับของชีวิตโดยรวม ที่มาความทุกข์ทั้งหลายนั้น เป็นเพราะ ความจริงของชีวิตถูกบิดเบือน และบดบังเอาไว้ ด้วยความไม่รู้ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด และปฏิบัติผิดต่อชีวิต ซึ่งเมื่อใดที่ความจริงเหล่านี้ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกความเข้าใจผิดก็จะค่อยๆ คลายออก พร้อมกับความทุกข์ที่ค่อยๆ คลายลง

การศึกษาอบรมธรรมะ จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในชีวิต เพราะเป็นเพียงวิธีการเดียว ที่จะเพิ่มพูนสติปัญญา ช่วยให้เห็นความเป็นจริงของชีวิต ความจริงที่เห็นแล้ว จะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์น้อยลง และไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป ในที่สุด

เขียนไว้เมื่อ มีนาคม ๒๕๕๒ /ขัดเกลาลง blog กันยายน ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น